วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 4

facebook มาแรง!! ทำโจ๋ไทย เมินท่องตำราน้อยลง

หากถามถึง facebook หรือ twitter คงไม่มีหนุ่มสาววัยทีนคนไหนไม่รู้จัก ผิดกับการถามถึงหนังสือ นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี ที่พวกเขาอาจจะต้องส่ายหัว ทำหน้าตาซีเรียส อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่า ปัจจุบันนี้พฤติกรรมของวัยรุ่นสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยสังคมโลกออนไลน์ บวกกับความน่าสนใจของหนังสือมีน้อยลง แถมราคาแพงมากขึ้นเป็นทวีคูณ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากพวกเขาเกิดจากการหลงใหลไปกับสื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ จนหลงลืมการอ่านหนังสือ ทั้งที่ “การอ่าน” เป็นหนึ่งกระบวนการพัฒนาความคิด สติปัญญา และอารมณ์เด็กไทยสมัยนี้
“กิม” ปิยะพร ศรีเจริญ นิสิตชั้นปี 3 คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หนึ่งในเยาวชนไทยที่ชื่นชอบการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ยังคงชื่นชอบและเก็บสะสมหนังสือไว้เป็นจำนวนมาก “ถือว่าโชคดีที่ครอบครัวสนับสนุนให้เป็นคนรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก จนถึงมัธยมปลาย พอจะมีกำลังซื้อหนังสือด้วยตัวเอง โดยไม่รบกวนค่าขนมเพิ่มเติมจากคุณพ่อ คุณแม่ ส่วนใหญ่หนังสือที่ชอบอ่านจะเป็น การตูน นิยาย วรรณกรรม เพราะทำให้เราได้คลายเครียด อย่างไม่จำกัดเวลา อยากจะอ่านตอนไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้"

หากถามถึงคุณภาพและราคาหนังสือในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร กิม บอกว่า คุณภาพหนังสือนั้นขึ้นอยู่กับประเภทหนังสือที่เราชื่นชอบ อ่านแล้วสนุกไหม รูปเล่ม น่าอ่าน น่าติดตามหรือเปล่า แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ราคาหนังสือ "เมื่อก่อนพกเงินมา 1,000 บาท ซื้อหนังสือได้มากถึง 3-4 เล่ม แต่เดี๋ยวนี้ได้ซื้อแค่ 1-2 เล่มเท่านั้น หนังสือแพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เวลาที่เราอยากจะอ่านหนังสือที่ชอบขึ้นมาจริงๆ ต้องตัดใจไม่ซื้อ ส่งผลให้เพื่อนบางคนที่ชอบอ่านหนังสือเหมือนอย่างเรา หันไปหาสิ่งๆ อื่นที่ช่วยให้หายเครียด อย่าง เกมส์ออนไลน์ ,hi5 , face book แทนที่การอ่านหนังสือ เพราะการสื่อสารในโลกออนไลน์ ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างได้มากกว่าในหนังสือเสียอีก"
สำหรับพี่ใหญ่ อย่าง “แนน” นัทธมน คำประดิษฐ์ นักศึกษาปริญญาโท จาก มหาวิทยาลัยศิลปกร เผยตนว่า ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กโดยมีครอบครัวช่วยปลูกฝังจนถึงวันนี้ และประเภทของหนังสือที่ชื่นชอบสุดๆก็เป็นจำพวกแนวสืบสวนสอบสวนที่ติดตามซื้อ ส่วนกรณีถ้าหากลดหย่อนภาษีได้มากขึ้นเธอบอกไม่ได้มีส่วนทำให้เธอซื้อหนังสือมากขึ้นเท่าใดนัก เพราะเธอจะเลือกซื้อแต่หนังสือที่ชอบเท่านั้น

“ เราได้ใช้ประโยชน์จากการชอบอ่านหนังสือ มันช่วยฝึกระบบจัดเรียงความคิด และมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ อ่ย่างแนวที่ชอบก็พวกสืบสวนสอบสวน ที่ทำให้เราได้คิดตาม มีความสนุกตื่นเต้น และน่าค้นหา ส่วนการหนังสืออย่างอื่นก็จะอ่านได้แต่ไม่ติดตาม เวลามีงานสัปดาห์หนังสือเราก็จะไปเลือกหาซื้อที่ชอบค่ะ เพราะเป็นที่ที่เดียวที่มีหนังสือใหม่ๆที่เราติดตามและซื้อพร้อมๆกันก็ราคาถูก แต่หากมองถึงเรื่องภาษีตรงนี้ยอมรับว่าไม่ได้คิดเท่าไหร่ เพราะส่วนตัวตอนนี้ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เรื่องค่าหนังสือจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อแต่เป็นประเภทของหนังสือมากกว่า และถ้าหากภาษีหนังสือจะถูกลง ก็อาจจะไม่ได้ทำให้เราซื้อหนังสือมากกว่าเดิมก็ได้ เนื่องจากหนังสือที่เราชอบอ่านจริงๆบางทีก็อาจจะยังไม่ได้ตีพิมพ์ ถึงแม้ถูกลงแต่ถ้าเราไม่ชอบอ่านเรื่องก็อาจจะไม่ซื้อก็เป็นได้”

ที่มา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น